ประวัติศาสตร์ย้อนคิดประวัติศาสตร์คืออดีตของพวกเรา การศึกษาอดีต ส่งผลอะไรในปัจจุบันและอนาคต
เรื่อง : พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)จากรายการข้อคิดรอบตัว ออกอากาศทางช่อง DMC
คำจำกัดความความหมายของคำว่าประวัติศาสตร์คืออะไร?ประวัติศาสตร์ มาจากคำว่า ศาสตร์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวในอดีต โดยทั่วไปถือกันว่าหากเป็นเรื่องเก่าเกินกว่า 10 ปีขึ้นไป เริ่มเข้าสู่ประวัติศาสตร์ ขึ้นอยู่กับว่าจะเรียนเก่าแค่ไหน อาจจะเก่าเป็น 10,000 ปีตั้งแต่มนุษย์ยุคหิน หรือ 5,000 ปี 3,000 ปี หรือยุคสัมฤทธิ์ ยุคเหล็ก จนกระทั่งใกล้เข้ามา 500 ปี, 400 ปี, 300 ปี ในแง่ของประวัติศาสตร์ชาติไทยมักเริ่มที่สมัยกรุงสุโขทัย เพราะมีเอกสาร มีสิ่งปลูกสร้างมีตัวเมืองให้เห็น แต่พอยุคก่อนสุโขทัย ค่อนข้างคลุมเครือไม่ค่อยชัด จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังเถียงกันว่าคนไทยมาจากไหน สมัยเมื่อ 40-50 ปีก่อนบอกว่าคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตล์ ฝรั่งบอกอย่างนั้นก็เชื่อตามฝรั่ง แต่ปัจจุบันทฤษฎีนี้คนไม่เชื่อกันแล้ว บอกว่าคนไทยน่าจะอยู่ที่นี่ ไม่ใช่มาจากเทือกเขาอัลไตน์ เพราะมีวัฒนธรรมบ้านเชียงอายุหลายพันปีเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลกทีเดียว เหล่านี้เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ในการศึกษาจากคำกล่าวที่ว่า “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” เหตุใดจึงไม่เลือกเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อไม่ให้ซ้ำรอย?
ต้องเข้าใจว่า คนประกอบด้วยกิเลส 3 ตัว คือ โลภ โกรธ หลง เหมือนกัน ต่างกันที่ดีกรีแก่อ่อน เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ในอำนาจ มีขุนนางมาคอยรองรับสนองงาน ซึ่งกษัตริย์จะเรียกว่า เป็นกษัตริย์ เป็นฮ่องเต้ เป็นจักรพรรดิ แล้วแต่จะเรียกชื่อ แต่มีความหมายว่าผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาดในตัวเอง กับขุนนางที่รองรับไปทำงาน เพราะคนเดียวไม่สามารถบริหารประเทศได้ทั้งหมด ตัวของฮ่องแต่ก็ระแวงว่าขุนนางจะกบฏหรือไม่ ขุนนางก็ระวังว่าหากผิดใจขึ้นมาฮ่องเต้จะสั่งฆ่าได้ง่ายๆ ซึ่งสมัยก่อนไม่ได้ฆ่าคนเดียวแบบปัจจุบัน ฆ่าทีสามชั่วโคตร เจ็ดชั่วโคตร หากใครพลาดท่าเสียทีเจอข้อหากบฏ ถูกสั่งฆ่าทั้งตระกูล ดังนั้นต่างฝ่ายต่างต้องระวังซึ่งกันมาก มีความเครียดแฝงอยู่ แล้วระหว่างเมืองการชิงเล่ห์ชิงเหลี่ยม ฮ่องเต้ของแคว้นที่เข้มแข็ง พยายามจะขยายอำนาจฝ่ายที่อ่อนแอกว่า ก็ต้องพยายามหาพวก จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีของแต่ละยุคมีการเปลี่ยนแปลง แต่กิเลสมนุษย์นั้นไม่ได้เปลี่ยน เพราะฉะนั้นมักจะมีเรื่องราวเกิดมาคล้ายๆเดิม ซ้ำๆเดิม เนื้อหาบางอย่างอาจจะต่างกันบ้าง แต่ว่าแพตเทิร์นคล้ายๆกัน เพราะกิเลสมนุษย์คล้ายๆกัน พอประวัติศาสตร์นานเข้าจึงกล่าวว่า ประวัติศาสตร์ไม่เคยใหม่ เพราะเช่นนี้จึงไม่ได้แตกต่างจากเดิมในบางประเทศหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยังไม่ค่อยชัดเจน เช่นกรณีบางประเทศที่เขียนประวัติศาสตร์คนละแบบกัน แล้วใครจริงใครเท็จ?
เป็นธรรมชาติมนุษย์ เนื่องจากประวัติศาสตร์เกิดขึ้นมาจากคนที่บันทึกไว้ ประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็มาจากขุนนางอารักษ์ในแผ่นดินไทยสมัยนั้นๆเขียน โดยจะเขียนอะไรก็ต้องเอาใจผู้มีอำนาจ กลายเป็นประวัติศาสตร์ เขียนโดยผู้ชนะคือใครที่มีอำนาจตอนนั้น แต่ประเทศจีนมีจุดเด่นคือฮ่องเต้ในอดีตองค์ที่มีภูมิปัญญาสูง เห็นแก่ประเทศชาติในอนาคต ไม่ได้คิดแต่ประโยชน์ วางเป็นธรรมเนียมที่ฮ่องเต้องค์ต่อๆมาไม่กล้าแก้ คือมีตำแหน่งขุนนางบันทึกประวัติศาสตร์ที่เขียนเสร็จแล้วไม่เปิดเผย ฮ่องเต้ก็ห้ามดู จึงกล้าเขียนความจริงเพราะเขียนแล้วไม่ต้องเปิดเผย เขาก็จะบันทึกตามความเป็นจริง ถือเป็นจรรยาบรรณของนักเขียนประวัติศาสตร์จีน หลังจากฮ่องเต้ตายไปแล้ว คนเขียนตายไปแล้ว จึงค่อยมาเปิดเผยให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ทำให้เป็นประโยชน์ต่อราชวงศ์ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
การศึกษาประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับว่า เราจะศึกษาประวัติศาสตร์แบบชาตินิยม เช่นประวัติศาสตร์ไทย ก็ศึกษาจากมุมของไทยอย่างเดียว หรือจะศึกษาเพื่อหาความจริง หากเป็นนักวิชาการที่ดี จะศึกษาเพื่อหาความจริง การจะหาความจริงได้ก็ต้องไปหาบันทึกของประเทศอื่นๆที่เกี่ยวข้องกันด้วย เช่นจะศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงที่ไทยรบกับพม่า มีเหตุขัดแย้งอะไรอย่างไร ไม่ใช่ศึกษาจากพงศาวดารไทยอย่างเดียว ต้องไปว่าพม่าเขียนว่าอย่างไร ส่วนไหนตรงกันทั้งสองประเทศ ต้องมาพิจารณาว่าส่วนไหนจริง ถูกหรือผิดทั้งคู่ ถูกคนละส่วนจึงต้องไปดูประเทศอื่นๆเช่นของล้านนามีเขียนไว้หรือไม่ หรือของฝรั่งที่เข้ามามีการบันทึกเสียงไว้หรือไม่ ต้องไปดูจดหมายเหตุของประเทศต่างๆของชาติต่างๆที่มีการบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวนั้นๆ เอาไว้รวมหลักฐานทั้งหมดมาศึกษาเพื่อจะแสวงหาว่าอะไรคือความจริง
นับจากนี้ไม่ว่าจะเป็นอีก 100 ปี 1000 ปีข้างหน้า เราทุกคนก็จะกลายเป็นคนในประวัติศาสตร์ แล้วควรทำอย่างไรเพื่อให้โลกจารึกแต่สิ่งที่ดีๆ?
เราจะใช้ประโยชน์จากการศึกษาประวัติศาสตร์ได้อย่างไร เรามักจะถูกสอนให้ท่องจำว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในประวัติศาสตร์ เช่นเมื่อพ.ศ. 1826 เป็นมรดกของชาติไทยเพราะพ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น ไทยเสียกรุงให้พม่าครั้งแรก เมื่อพ.ศ. 2112 และอีก 15 ปีต่อมาพระนเรศวรมหาราชจึงกอบกู้เอกราชได้ เป้นต้น เป็นการท่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นหลัก แค่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในประวัติศาสตร์ แต่ข้อคิดมุมมองภูมิปัญญาจากการศึกษาประวัติศาสตร์ ยังไม่เกิด การจะได้ประวัติศาสตร์เป็นบทเรียนจึงต้องศึกษาว่า ทำไมถึงเกิดเรื่องราวอย่างนั้น การตัดสินใจของผู้นำประเทศของบุคคลที่แวดล้อมตอนนั้นถูกหรือผิด ส่งผลดีหรือเสียอย่างไร มีเงื่อนไขปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ฝ่ายหนึ่งชนะ ฝ่ายหนึ่งแพ้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร อย่างไรขึ้นมา จะได้เอาบทเรียนที่ถอดออกมาแล้วมาใช้กับเรื่องราวในยุคปัจจุบัน
เวลาศึกษาอยากดูอะไรผิวๆ ให้ดูเชิงลึกด้วย แล้วจะศึกษาประวัติศาสตร์อย่างสนุก ไปเที่ยวชมนิทรรศการที่ไหนไปชมเสร็จแล้วจะได้มีความรู้ ไปดูพิพิธภัณฑ์ดูแล้วเราจะมีความรู้เพิ่มขึ้นเป็นองค์ความรู้ในตัวเรา ไปถึงที่ไหนอุตส่าห์เดินทางไปแล้ว เข้าไปถึงให้ถึงแก่น ไปเอาความรู้ติดตัวไว้ จะได้คุ้มเหนื่อยคุ้มกับเวลาที่เสียไป
ประวัติศาสตร์ทั้งหลายนั้นซ้ำรอย ก็เป็นเพราะกิเลสของมนุษย์ที่มีความรัก ความโลภ ความโกรธและความหลงนั่นเอง การศึกษาประวัติศาสตร์ไม่ใช่เพียงแต่ศึกษาเรื่องราวโดยผิวเผินเท่านั้น แต่ต้องมองให้ลึกทั้ง 360 องศาว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ในช่วงนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร การตั้งคำถามว่าทำไมจึงมีส่วนสำคัญในการศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อป้องกันการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอย
ประวัติศาสตร์ย้อนคิด
ประวัติศาสตร์คืออดีตของพวกเรา การศึกษาอดีต ส่งผลอะไรในปัจจุบันและอนาคต https://dmc.tv/a24157
บทความธรรมะ Dhamma Articles > ข้อคิดรอบตัว[ 3 พ.ย. 2561 ] - [ ผู้อ่าน : 18284 ]
บทความอื่นๆ ในหมวด
ทำไมจีวรพระต้องเป็นสีเหลืองขอไม่นับถือพระสงฆ์
ข้อคิดธรรมะของพระสุธรรมญาณวิเทศ (สุธรรม สุธมฺโม) จากหนังสือ "หน้าสุดท้าย"
I can’t respect monks, can I?
กราบไหว้ทำไม งมงาย !
Why do people have to pay homage? Ignorant!
โซเดียม อันตรายใกล้ตัว
บวชให้สุก
พลังหญิง
ตักบาตรใส่บุญ(ตอนที่2)
ตักบาตรใส่บุญ (ตอนที่1)
ปัญหามรดก
ยิ่งใหญ่ในรายละเอียด